เว็บไซต์ของบริษัทมีการใช้งานคุกกี้ (cookies) เพื่อมอบประสบการณ์ในการใช้งานเว็บไซต์ที่ดียิ่งขึ้นให้แก่คุณ รวมถึงเพื่อนำเสนอสิทธิประโยชน์ที่ตรงต่อความสนใจของคุณมากที่สุด คุณสามารถตั้งค่าการใช้งานคุกกี้เพื่อปรับแต่งการใช้งานคุกกี้ให้ตรงต่อความต้องการของคุณ หากคุณกดยอมรับการใช้งานคุกกี้ทั้งหมด
บริษัทจะเก็บรวบรวมและใช้คุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการวิเคราะห์พฤติกรรมและนำเสนอสิทธิประโยชน์ให้แก่คุณ
คุณสามารถศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับการใช้คุกกี้ของบริษัทได้ที่ นโยบายการใช้คุกกี้

เหตุการณ์ “ล้างพอร์ตครั้งใหญ” หรือนี่จะใช่ “จุดจบ” ของตลาดคริปโทเคอร์เรนซี

17 ต.ค. 68
10
Orbix INVEST Team
Macro พอร์ตลงทุน อัปเดตตลาด สินทรัพย์ดิจิทัล
banner image

เหตุการณ์ล้างพอร์ตครั้งใหญหรือนี่จะใช่จุดจบของตลาดคริปโทเคอร์เรนซี 

 
ภายใน 24 ชั่วโมง ยอดล้างพอร์ต ทะลุ 19,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามรายงานของสื่อการเงินอ้างอิงข้อมูล CoinGlass ตัวเลขดังกล่าว สูงกว่าการล้างพอร์ตรอบ LUNA/UST  และ วิกฤต FTX  หลายเท่า โดยข้อมูลด้านล่างนี้เทียบให้เหตุการณ์ปริมาณล้างพอร์ตครั้งสำคัญในอดีตจนถึงปัจจุบัน  

  • (พ.ย. 2565) FTX: ~1,600 ล้านดอลลาร์  
  • พ.ค. 2565 LUNA/UST : มากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์  
  • 10 ต.ค. 2568: ล้างพอร์ต ~19,000 ล้านดอลลาร์ สูงสุดเป็นสถิติใหม่  

(อ้างอิงข้อมูล CoinGlass) 

จากข้อมูลด้านบน หลายคนอาจตั้งคำถามว่า แล้วทำไมการ Liquidation ครั้งนี้ถึงรุนแรงกว่าเดิม

ปัจจัยหลักครั้งนี้มาจาก Open Interest (OI)* ที่สะสม “หนาแน่นกว่าปกติ” ก่อนเกิดข่าวกระตุ้น โดยปริมาณ OI ที่วัดได้จากสินทรัพย์หลักของตลาดอนุพันธ์คริปโต อย่าง BTC และ ETH ที่ครอบคลุมกิจกรรมส่วนใหญ่ของระบบ ทั้งสัญญา USD-margined และ coin-margined จากหลายกระดานซื้อขาย (อ้างอิงข้อมูลแบบรวมศูนย์จาก Coinalyze) ความเสี่ยงของการบังคับขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดอนุพันธ์มีการเพิ่มขึ้นอย่างมาก มากถึงขั้นที่หากเจอกับข่าวลบมากระแทกเพียงข่าวเดียวก็เพียงพอที่จะส่งผลให้ราคาขยับรวดเร็วจนทะลุจุดตัดขาดทุน/ล้มมาร์จิน จนกลายเป็นยอดล้างพอร์ตระดับสถิติที่เกิดขึ้น 


และในช่วงเวลาเดียวกัน ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ออกมาประกาศขึ้นภาษีสินค้าจีน 100% หลังจีนประกาศคุมเข้มการส่งออกแร่
หายากและวัตถุดิบเชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ โดยเหตุการณ์นี้ถูกตีความว่าเป็นการใช้นโยบายทรัพยากรเป็นอาวุธทางการค้า ส่งผลให้บรรยากาศการลงทุนเปลี่ยนเป็น
Risk-Off ทันที 

 

เมื่อสองเหตุการ์นี้ประจวบเหมาะ แรงเทขายจากตลาดสปอตลุกลามสู่ตลาดอนุพันธ์ (สัญญาซื้อขายล่วงหน้า) ที่มีปริมาณสะสมมากกว่าปกติอยู่แล้ว จึงเกิดการบังคับปิดสถานะจำนวนมาก (liquidations) นับเป็นการล้างพอร์ตครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
คริปโต โดยสะท้อนความเปราะบางของเลเวอเรจและความสัมพันธ์ระหว่างนโยบายการค้า ห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยีและสินทรัพย์เสี่ยง
 
แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนปี 2565 ที่มาของวิกฤตต่างกัน 

 

ในปี 2565 วิกฤตคริปโตเริ่มต้นจากปัญหาภายในวงการเอง โดยเฉพาะกรณีของ เหรียญ Stablecoin “UST” บนเครือข่าย LUNA ซึ่งมีกลไกควบคุมมูลค่าให้อยู่ที่ 1 ดอลลาร์สหรัฐต่อเหรียญ ผ่านการสร้างหรือเผาเหรียญ LUNA เพื่อรักษาสมดุลราคา แต่เมื่อถึงเดือนพฤษภาคม 2565 ระบบเริ่มขัดข้อง มูลค่า UST หลุดจาก 1 ดอลลาร์ ส่งผลให้มีการสร้างเหรียญ LUNA จำนวนมากเกินจนล้นตลาด ส่งผลให้มูลค่าของ LUNA ร่วงลงอย่างหนักตามกลไกอุปสงค์และอุปทาน (Demand & Supply) ความตื่นตระหนกที่เกิดขึ้นทำให้เกิดการบังคับขาย (Liquidation) ของนักลงทุนที่ใช้เงินกู้เก็งกำไร จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการล้ม domino effect ในตลาดคริปโตช่วงนั้น

การลุกลามในปีนั้นเกิดขึ้นภายในระบบคริปโตเป็นหลัก สภาพคล่องหด กองทุนและผู้กู้ที่เกี่ยวข้องกับเหรียญ LUNA ล้มเป็นลูกโซ่ ความเสี่ยงคู่สัญญาปะทุ และสุดท้ายกระทบถึง Centralized Exchange (CEX) อย่าง FTX ผลกระทบเชิงระบบของปี 2565 คือความเชื่อมั่นต่อโครงสร้างตลาดคริปโตสั่นคลอน

ซึ่งแตกต่างจากเหตุการณ์ในวันที่ 10 ตุลาคม 2568 ปัญหาเริ่มจากปัจจัยภายนอกตลาด สหรัฐอเมริกาประกาศขึ้นภาษีต่อจีน หลังจีนเข้มงวดการส่งออกวัตถุดิบยุทธศาสตร์ ส่งผลให้ความคาดหวังเชิงนโยบายและภูมิรัฐศาสตร์เปลี่ยนฉับพลัน 

แต่ทว่าการลุกลามครั้งนี้มาจากการลดความเสี่ยงพร้อมกันของนักลงทุนที่ไปชนกับภาวะที่สัญญาอนุพันธ์สะสมสถานะไว้หนาแน่น อยู่ก่อนแล้ว จึงเกิดการปิดสถานะบังคับต่อเนื่องและรุนแรง 

ในช่วงต้นปี 2568 ความกังวลเรื่องกำแพงภาษีส่งผลให้ตลาดอ่อนตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป นักลงทุนจึงลดความเสี่ยงและรอความชัดเจนด้านนโยบาย ก่อนที่ในเดือนเมษายน 2568 ประธานาธิบดีทรัมป์จะประกาศผ่อนผันมาตรการเป็นเวลา 90 วัน ส่งผลให้บรรยากาศกลับมาเป็นบวกและราคาสินทรัพย์จำนวนมากทำจุดสูงสุดใหม่ เนื่องจากตลาดมองว่าหนทางสู่การเจรจาเปิดกว้างมากขึ้น 

ถัดมา เมื่อพิจารณาไทม์ไลน์การเจรจารอบนี้ จะพบว่าเป็นการผ่อนผันที่มุ่งไปยังจีนเพียงประเทศเดียว ต่างจากช่วงต้นปีที่ต้องหารือหลายประเทศ จึงมีเหตุผลรองรับว่ากรอบเวลาการเจรจาอาจสั้นกว่าเดิม ทั้งนี้ บทเรียนจากรอบปี 2561 ช่วยยืนยันภาพดังกล่าว โดยวัฏจักรครั้งนั้นเริ่มจากการยกระดับภาษีต่อสินค้าจีนหลายรายการ และปิดจบชั่วคราวด้วยข้อตกลงเฟส 1 ในเดือนมกราคม 2563 ซึ่งสหรัฐอเมริกาลดภาษีในหมวดที่ 4 ส่วนเอจาก 15% เหลือ 7.5% และระงับการจัดเก็บในหมวดที่ 4 ส่วนบี ขณะที่อัตราหลักในหมวดที่ 1 ถึง 3 ที่ 25% ยังคงอยู่ กล่าวโดยสรุป วิกฤตลักษณะนี้มักมาพร้อมกับการผ่อนคลายและลงเอยที่โต๊ะเจรจา

orbix INVEST มองว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ยังไม่ใช่จบรอบตลาดกระทิง (Bull Run) แต่เป็นการปรับฐานอย่างรุนแรงในระยะเวลาอันสั้นจากปัจจัยภายนอกที่มากระทบตลาด ในช่วงที่ปริมาณสะสมของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของตลาดอนุพันธ์สูงผิดปกติ จึงเห็นการปรับฐานลึกและเร็ว แต่ไม่ได้สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างของคริปโตเอง เพราะในด้านของข้อมูล On-Chain ก็ยังไม่แสดงภาวะฟองสบู่หรือ FOMO แบบปี 2565 นอกจากนี้ถ้าเราดูที่ข้อมูลของมูลค่าของ Stablecoin ในตลาดไม่ได้มีการลดลงอย่างในช่วงเดือนพฤษภาคม 2565 ช่วงที่เกิด Luna Crash นั้นแปลว่าสภาพคล่องยังอยู่ในระบบไม่ได้หายไป

จากรูปภาพด้านบน มูลค่าของ Stablecoin บนโลกคริปโต ณ วันที่ 14 ตุลาคม 2568 อ้างอิงข้อมูลจาก DeFiLlama 

รวมถึงกระแสเงินทุนจากนักลงทุนสถาบันผ่านกองทุนรวม ETF ยังเป็นปัจจัยหนุนหลักของตลาด โดยหลังจากสิ้นสุดสัปดาห์

วันที่ 4 ตุลาคม 2568 ปริมาณเงินไหลเข้าทำสถิติสูงใหม่ 5,950 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อ้างอิงข้อมูลจาก CoinShares และวันที่ 6 ตุลาคม 2568 มียอดไหลเข้า Bitcoin Spot ETF วันเดียวราว 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ  

 

จากปัจจัยหนุนทั้งหมดที่กล่าวมา รอบขาขึ้นเชิงโครงสร้างยังไม่จบและหากมีสัญญาณผ่อนคลายนโยบาย ไม่ว่าจะเป็นการกลับมาเจรจา หรือ การชะลอขึ้นภาษีชั่วคราว จะหนุนการฟื้นตัวของความเชื่อมั่นและกระแสเงิน ซึ่งตามพฤติกรรมตลาดที่ผ่านมา เงินมักไหลเข้าผ่านสินทรัพย์ดิจิทัลหลักที่สภาพคล่องลึกกว่าอย่าง Bitcoin เป็นลำดับแรก แล้วจึงค่อยไหลต่อไปยัง Altcoins ดังนั้นการลงทุนเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ตลาดในปัจจุบันและความเสี่ยงของนักลงทุน สามารถปรับการจัดพอร์ตลงทุนโดย

  • ยึด BTC เป็นแกนพอร์ต เพื่อไม่พลาดจังหวะฟื้นตัวและลดความผันผวนข้ามกลุ่ม โดยใช้กองทุนที่อ้างอิงราคาแบบสปอตอย่าง OBX-BTC 
  • เปิดรับโอกาสเพิ่มเติม เมื่อสัญญาณแนวโน้มขาขึ้น ด้วยการลงทุนในกลยุทธ์ OBX-BES เพื่อรับโอกาสผลตอบแทนเพิ่มจาก Ethereum โดยยังคงให้ Bitcoin เป็น Core Investment ของพอร์ตกลยุทธ์

*Open Interest (OI) คือ สถานะคงค้างของสัญญาอนุพันธ์ (เช่น Futures หรือ Options) ที่ยังไม่ได้ถูกปิดสถานะหรือถูกชำระ ในช่วงเวลาหนึ่งในตลาดการเงิน

 

คริปโทเคอร์เรนซี และโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ / ผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีต หรือผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลหรือผลการดำเนินงานในอนาคต

บทความล่าสุดอื่นๆ

Stablecoin จากเงินดิจิทัลที่เอาไว้พัก สู่โครงสร้างหลักของโลกการเงินใหม่
โลกกำลังเข้าสู่ช่วงเวลาสำคัญ เมื่อ “Stablecoins” กำลังดึงดูดผู้ใช้หลายล้านคนทั่วโลก ด้วยปัจจัยเรื่องอัตราดอกเบี้ยในประเทศหลัก ๆ อย่างสหรัฐฯ อังกฤษ และยุโรปเริ่มปรับลดลง แม้จะเป็นข่าวดีสำหรับผู้กู้ แต่อาจไม่ใช่สำหรับผู้ฝาก เพราะผลตอบแทนจากบัญชีเงินฝากลดต่ำลงและยังถูกกดดันจากเงินเฟ้อที่ยังสูงกว่าเป้าหมาย 2% ทำให้เงินสดในบัญชีเสื่อมค่าลงเรื่อย ๆ เมื่อเทียบกับทางเลือกใหม่อย่าง Stablecoins ที่สามารถมอบดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนที่สูงกว่าธนาคารได้ อ่านต่อ คลิก
10 ต.ค. 68
7
ิลงทุนการเงินดอกเบี้ยCryptocurrencyStablecoin
เปิดเหตุผล ทำไมคนทั่วโลกเริ่มลงทุนใน Bitcoin
ในวันที่โลกการเงินเปลี่ยนเร็วขนาดนี้ เราควรมี Bitcoin ติดพอร์ตไว้บ้างหรือยัง?...เปิดเหตุผลที่ผู้คนทั่วโลกเริ่มหันมาถือครอง Bitcoin ติดพอร์ต แม้มูลค่าจะผันผวน แต่การถือครองระยะยาวได้สะท้อนการเติบโตของมูลค่าอย่างต่อเนื่อง
25 ส.ค. 68
3 นาที
Blockchainบิตคอนย์พอร์ตลงทุน
เงินบาทแข็งแตะจุดสำคัญ คว้าโอกาสลงทุนใน USDC

"เงินบาทแข็งแตะจุดสำคัญ คว้าโอกาสลงทุนใน USDC"  ให้เงินทำงานรูปแบบใหม่ ปลอดภัย โปร่งใส ลงทุนในกลยุทธ์ OBX-STABLECOINPLUS ตอบโจทย์สถานการณ์เงินบาทแข็งค่า เพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนสูงสุดประมาณ 3.5% ต่อปี* 

9 ส.ค. 68
5 นาที
สินทรัพย์ดิจิทัลิลงทุน
ดูบทความทั้งหมด

Orbix INVEST

Strategist for Kryptonian

apply storegoogle store

ดาวน์โหลดแอปเพื่อเริ่มลงทุนได้แล้ววันนี้

mobile
orbix
orbix